วัฒนธรรมพื้นบ้านภาคเหนือ
เพลงพื้นบ้านในของภาคเหนือ เป็นเพลงสนุกสนาน เช่น เพลง ค่าว ซึ่งเป็นบทขับร้องที่มีทำนองสูงต่ำ ไพเราะ เพลงซอ เป็นการ ขับร้องโต้ตอบเกี้ยวพาราสีกัน จ๊อย หรือการขับลำนำในโอกาสต่างๆ และทำฮ่ำหรือคำฮ่ำ ซึ่งเป็นการขับร้องหมู่ เป็นต้น
เพลงพื้นบ้านภาคเหนือ สามารถใช้ร้องเล่นได้ทุกโอกาส โดยไม่ จำกัดฤดูหรือ เทศกาลใดๆ ซึ่งจะใช้ร้องเพลงเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ และการพักผ่อนหย่อนใจ โดยลักษณะการขับร้องและท่วงทำนองจะ อ่อนโยน ฟังดูเนิบนาบนุ่มนวล สอดคล้องกับเครื่องดนตรีหลัก ได้แก่ ปี่ ซึง สะล้อ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถจัดประเภทของเพลงพื้นบ้านของภาคเหนือได้ 3 ประเภท คือ
1. เพลงซอ ใช้ร้องโต้ตอบกัน โดยมีการบรรเลงปี่ สะล้อและซึงคลอไปด้วย
เพลงซอ น้อยไชยา – นางแว่นแก้ว
น้อยไชยา
ดวงดอกไม้แบ่งบานสลอน ฝูงภมรแม่เผิ้งสอดไซร้
ดอกพิกุลของพี่ต้นได้ ลมพัดไม้มาสู่บ้านตู๋
ฮู้แน่ชัดเข้าโสตสองหู ว่าสีชุมพูเพื่อนปำเค้าเนิ้ง
เค้ามันต๋ายปลายมันเสิ้ง ลำกิ่งเนิ้งปลายโค่นตวยแนว
ดอกพิกุลก็คือดอกแก้ว จะเป็นของเพื่อนไปแล้วเน้อ
- แว่นแก้ว
เต๋มเค้ามันเนิ้งปลายมันบ่ถอน บ่ไหวเฟือนคอนกิ่งใบไหนเหล้า
ต๋ามคำลมที่พัดออกเข้า มีแต่เค้าไหวหวั่นคอนเฟือน
กิ่งมันแท้บ่แส่เสลือน บ่เหมือนลมเจยรำเพยก็จะนั้น
ใจคำหญิงน้องหนิมเที่ยงหมั้น บ่ไหวข้อนเหงี่ยงทางใด
ยังเป็นกระจกแว่นแก้งเงาใส บ่ไหวข้อนเหงียงจ๊ายเนอ
- น้อยไชยา
ตั๋วพี่น้อยจะขอถาม ต๋าคำลมเพื่อนมาเล่าอู้
เขาว่านายมีชู้บ้านวังสิงห์คำ ฝ่ายทางพู้นเพื่อนมาใส่มะจ๋ำ
บ้านวังสิงห์คำเพื่อนมาหมั้นไว้แล้ว ฝ่ายพ่อแม่สาวน้องนางแว่นแก้ว
ตกลงเพื่อนแล้วบ่ใช่กาหา เพื่อนจักกินแขกแต่งการวิวาห์
เมื่อใดจาพี่น้อยก็ใคร่ฮู้
- แว่นแก้ว
ตั๋วน้องนี้บ่ล่าไหลหลง การตกลงก็ยังบ่แล้ว
จิ่งเชิญตั๋วพี่มาห้วยแก้ว เพราะใคร่ฮู้คำฟู่คำจ๋า
จิ่งเชิญน้อยพี่มาเปิกษา จะว่าใดจาน้องก็ใคร่ฮู้
น้องเชิญตั๋วพี่มาฟู่อู้ จะเอาเป๋นชู้กาว่าเป๋นเมีย
ฤาจะลบล้างลืมลายหายเสีย จะเอาเป็นเมียฤาจะทิ้งเสียแล้ว
ฤาจะเอาเมียนางช้างแก้ว เอาไว้เป็นคู่เทียมญิง
ขอบอกน้องหื้อแน่ใจ๋จริ๋ง อย่าอำพรางนาฏน้องเนอ
- น้อยไชยา
บ่จุ๊หลอกน้อยหื้อหม่นหมองหมาง บ่ล่อลวงพลางแม่นางฮ่างแค้ว
ปี้หมายเอาเป๋นเมียนางช้างแก้ว บ่หื้อคลาดแคล้วเรื่องคำสีเนห์
หลอนแก้วน้องใจ๋ยังบ่เหว เรื่องคำสีเนห์เหมือนพี่คิดเล้า
หลอนพี่จุอำพรางล่ายเจ้า ขอหื้อฟ้าผ่าหัวแม่เมียต๋าย
ลูกแม่ญิงช่างฟู่เหล้นบ่อดาย ลูกพ่อชายฟู้แท้บ่พลั้ง
หลอนตั๋วนายต๋ายเป๋นไก่ตั้ง พี่น้อยจะต๋ายเป็นคืน
ฟู่บ่ถูกวันพูกค่อยขืน ฟู่เมื่อคืนค่อยมาขืนเมื่อเช้า
หัวใจ๋ชายพี่ยังรักเจ้า เผียบเหมือนเหล้ากับปาง
ปากคำใดพี่ก็ตึงอ้าง บ่ได้จ๋างจากน้องเนอ
2. เพลงจ๊อย เป็นการนำบทประพันธ์ของภาคเหนือ นำมาขับร้องเป็นทำนองสั้นๆ โดยเนื้อหาของคำ ร้องจะเป็นการระบายความในภายในใจ แสดงอารมณ์ความรัก ความเงียบเหงา มีนักร้องเพียงคน เดียว และจะใช้ดนตรีบรรเลงหรือไม่ก็ได้ เช่น จ๊อยให้กับคนรักรู้คนในใจ จ๊อยประชันกันระหว่างเพื่อนฝูง และจ๊อยเพื่ออวยพรในโอกาสต่างๆ หรือจ๊อยอำลา
ซอเมือง
คำว่า “ซอเมือง” คือการขับลำนำเพลงของชาวเหนือ เป็นแหล่งเกิดของวรรณกรรมเมืองเหนือ ซอมีท่วงทำนองหลายชนิด มีจังหวะช้าและเร็ว ว่ากันว่า ซอเมองก็คล้ายๆ กับ “ลำตัด” ของทางภาคกลาง เป็นเพลงว่ากันฝ่ายชายหนึ่ง และฝ่ายหญิงหนึ่ง การเล่นจะต้องมีลูกคู่คอยร้องตอนเริ่มต้นๆ ของแต่ละฝ่าย เครื่องดนตรีก็ใช้กลองรำมะนา และก็เหมือนกับ “แอ่ว” หรือ “หมอรำ” หรือ “หมอแคน” ของภาคอีสาน นั่นคือการซอ ก็คือลำนำเพลงหรือร้องเพลงโต้ตอบกันระหว่างหญิงกับชาย โดยจะต้องใช้ปฏิญาณไหวพริบให้ทันท่วงทีการร้องส่งและรับจะต้องให้คล้องจองกับคำกล่าวในวรรคก่อน ฟังแล้วไพเราะมาก
ชิ้นส่วนดนตรีประกอบซอเมือง ก็มีปี่เค้า ปี่เล่มใหญ่ที่สุด ปี่กลาง และปี่ก้อย กับมีปี่จุมสามกับปี่จุมห้าอีก โดยใช้คนเป่าปี่ถึง ๓ คน นอกจากนี้ก็มี ซึง ๒ สาย ทะล้อ ๓ สาย ประกอบการเล่น
การซอทั้งหญิงและชายก็จะว่าโต้ตอบกันเป็นเรื่องๆ ไป เช่น เรื่องเกี่ยวกับความรักๆ ใคร่ๆ และบางทีก็เป็นบทพิศวาส หรือเรื่องนิยายบ้าง ถามปัญหากันบ้าน คติโอวาทสั่งสอนกันบ้าง คอซอเป็นกลอนสดซึ่งส่วนมากจะเคยว่าเพลงกันมาก่อน มิฉะนั้นจะไม่คล่องในการซอหรือการร้องเพลง การซอเรื่องดีๆ ผู้ฟังจะชอบอกชอบใจกันมาก ดนตรีก็จะบรรเลงกระตุ้นใจให้แก่ผู้ดูเข้าอีก ต่างก็ตบมือหัวร่อหรือกระโดดโลดเต้นด้วยความลืมตัวก็มี
การเล่นขับลำนำซอนี้ มักจะมีในงานปอยหลวง ปอยน้อย หรือในงานสมโภชต่างๆ ซึ่งศิลปะการละเล่นพื้นเมืองดังกล่าวมานี้เป็นที่นิยมของคนดูมากในทางภาคเหนือ
ซอของทางภาคเหนือมีหลายทำนอง การซอก็ต้องเลือกทำนองเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ สถานที่ และภูมิประเทศ คนดูแลฟังก็จะชอบทำนองแต่ละชนิดๆ แตกต่างกันไปทำนองของซอมีดังต่อไปนี้ คือ
ซอเพลงพื้นเมือง เป็นเพลงที่ร้องโต้ตอบกันระหว่างชายหญิงแบบพวงมาลัยหรือเพลงฉ่อยทางภาคกลาง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ชาย “วันนี้นับเป็นนาบุญ ที่มาอุดหนุนเติมสร้าง มาปะน้องนายสาวจี๋แม่ร้างที่อั้นใจ๋กว้างคนงาม”
“ปี่ (พี่) นี้ใคร่ตั๊กแล้วก็ใคร่ถาม น้องสาวคนงามเป็นลูกไผ (ใคร) เจ้าปูนสังดีงาม (ทำไมงดงาม) เหมือนคำหล่อเบ้า สำนักแห่งเจ้าอยู่บ้านใดจา”
หญิง “ตัวน้องนี้เป็นคนผามบ่องาม บ่เข้ามาถามหลอกลวงข้าเจ้า บ่เข้ามาจุ๊นี้เป็นคนเฒ่า ใคร่ได้สาวน้อยมาพิง”
ตั๋วข้าเจ้านี้เป็นลูกแม่ยิง (ผู้หญิง) จะมีคู่พิงต้องผ่อต๋าหน้า นับได้นับงามนับคว้า ตกใจ๋เมื่อหล้าปายฉูน”
ซอเพลงอื่อ คือเพลงซอสำหรับกล่อมเด็ก เนื้อร้องและทำนองเย็นมาก เพื่อกล่อมเด็กให้ง่วงเหงาหาวนอน เนื้อร้องก็จะเป็นโอวาท คติ และคำข่มขู่ ฯลฯ เป็นต้น
เช่น “เอากันเขาเยียะช่วยกันปลูก คันว่าเรามีลูก จะช่วยกันอื่อกันชา ไผถามอย่างได้ว่าลูกข้า หื้อว่าเอาหลาย แม่ป้ามาเลี้ยง”
ซอเพลงเงี้ยว เป็นทำนองเพลงของชาวไทยลานนา ซึ่งรับเอาบทวรรณกรรมมาจากไทยใหญ่ ดังนั้นในคำซอจะมีคำกล่าวถึงไทยใหญ่อยู่บ่อยๆ ดังเช่น
“เสเลเมา บ่าเดี่ยวป๊อกซ๊อก ทิกจะอ๊อก เอาหัวเป็นหาง แก่งหน่อไม้บ่ได้ใส่ผักเครือนาง เฮยละหยั่น”
“เสเลเมา บ่าเดี่ยวเบิ้กเซิ้ก ข้าน้ำเลิ้ก บ่เด็ดม่ำสูงสุด หัวปู่เงี้ยวไปชนใส่หัวไม้ทุง เฮยละ หยั่น”
ซอเพลงพม่า เป็นทำนองที่แปลงมาจากพม่า เมื่อนักซอขับจบวรรค ก็จะมีดนตรีรับ เมื่อดนตรีจบแล้วก็จะร้องต่อ ซอเพลงพม่าโดยเนื้อร้องก็นำมาจากชาดก ดนตรีที่ใช้ประกอบในการซอเพลงพม่า ก็มี ซึง ทะล้อ ปี่ ฉิ่ง และกลองเล็กสองหน้าพร้อมสายสะพายด้วย
ตัวอย่างการซอเพลงพม่า ดังคำร้องว่า “ค่อยฟังเตอะรา แม่จุมพี่น้อง จักไขทำนองเรื่องนางบัวคำ ที่ออกในธรรม ต๋ามคำพระเจ้า ที่ตามบทเก๋า เจ้าสุวัฒตามมา”
แปลว่า “ค่อยฟังเถิดบรรดาพี่น้อง จะเล่าทำนองเรื่องราวของนางบัวคำที่ปรากฏในชาดกของพระพุทธเจ้าตามมา”
“ซอเพลงค่าว” หรือ “ครรโลงเมือง” ซอทำนองดังกล่าวนี้ มักจะเอาเนื้อเพลงมาจากค่าวซอต่างๆ ที่ไพเราะเป็นต้นว่า เอามาจากค่าวสี่บทของ “พญาพรหมโวหาร” กวีเอกชั้นบรมครูของลานนาไทย
ดังเช่นตัวอย่างว่า “พี่ฮักเจ้าเหมือนข้าฮักเหิม ฮักปลืมเหมือนพึมฮักฝ้าย” แปลว่า “พี่รักน้องเหมือนข้าวรักไห รักไม่ลืมเหมือนกี่รักฝ้าย”
ทำนองเชียงใหม่ เป็นเพลงซอที่มีจังหวะเร็วและมีเสียงเอื้อนที่ข้างท้ายประโยคดนตรีที่ประกอบก็ใช้ที่จุมและซึง บทเพลงซอทำนองเมืองเชียงใหม่นี้ มักจะเป็นบททำนองรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาวดังเช่น บทนิยายรัก เป็นต้น
ทำนองจะบุ ทำนองดังกล่าวนี้ เป็นท่วงทำนองลีลาช้าๆ ไพเราะเพราะพริ้งมากเป็นเพลงที่เจ้านายฝ่ายเหนือนิยมฟังมาก และเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ เสด็จประพาสเมืองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๙ ก็ให้มีการซอทำนองจะบุนี้ เนื้อเพลงได้กล่าวสดุดีพระเกียรติ และพรรณนาความงามต่างๆ ของบ้านเมืองในสมัยนั้น
เช่น ทำนองเนื้อเพลงว่า “หยั่งม่วนล้ำ เมื่อเฮาไปฮับเข้าจ๊าง ฝูงสาวม่ายแม่ฮ้างพากันแต่งเนื้อนวลละออง เกล้าผมเพิ่มหลวงก็เพราะแม่หญิงขาวอั่วจ๊อง...”
แปลเป็นความว่า “ช่างสนุกหนักหนา เมื่อคราไปรับเสด็จเจ้าจ๊าง (หมายถึงพระมหากษัตริย์) บรรดาหญิงสาวแต่งกายกันสวยงาม เกล้าผมมวยใหญ่ๆ เพราะผู้หญิงเขาใส่ ซ้อง...”
ซอเพลงพระลอ ทำนองดังกล่าวนี้เป็นทำนองที่ไพเราะเพราะพริ้งมาก เป็นทำนองซอโบราณของลานนาไทย โดยเนื้อร้องก็เอามาจากนิยายรักอมตะของลานนาไทย คือ วรรณกรรมเรื่อง “พระลอ” บทเพลงซอพระลอเป็นที่นิยมร้องกันมากในปัจจุบันนี้
โดยเฉพาะเนื้อร้องเพลงพระลอนั้น มีประวัติว่า พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี โปรดให้ท้าวสุนทร (บุญมา สุคันธกุล) มีตำแหน่งเป็นอาลักษณ์และกวีชั้นอาจารย์แห่งลานนาไทย ซึ่งพำนักอยู่ที่ข้างวัดพันตองเมืองเชียงใหม่ เป็นผู้ประพันธ์ขึ้น
อนึ่ง เพลง “ซอพระลอ” เป็นการร้องเดี่ยว จะเป็นฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายก็ได้ ขอยกเพลงซอตอนพระลอบุกป่าฝ่าดงติดตามพระเพื่อน – พระแพงพี่น้องสองสาวดังนี้ว่า
แลละลิ่วไปสุดสายต๋า เตียวต๋ามมัคคาต๋ามหาน้อง เอื้อยเดินระเรื่อยไปต๋ามหนทางเสือสิงห์สางกระทิงระโว้ เสียงช้างโนนร้องดังโอ้มโอ้ มาหักไม้อยู่ริมทาง องค์ท่านท้าวตกใจ๋สลั้งจะตายอกแตกแล้วหน่า”
“องค์ท่านท้าวพระกษัตริย์ต๋า ชมหมู่มัจฉาปู๋ป๋าก่อค้าว ป๋ามะหาวและป๋าแปบอ้าวป๋าค้าวเพื่อนป๋าปุง ป๋าเสด็จสะลากเป็นฝูง มีเป็นจมบ่ไซ่ของหน้อย ป๋าแข้กดและ ป๋าบอกสร้อยมาลอยละเลื่อมชมวัง บางพ่องนั้นบิ๊กหางเป็นหัว ผ่อดูบางตั๋วเอาคิงขึ้น ตี๋ฟองน้ำ ป๋าสลิดบิ๊กหัวเข้าถ้ำ คู่แนบคู่ผัวเมีย องค์ท่านท้าวรวดมาเลยใจ๋เสีย บ่คิดถึงเมียแต่หากคิดถึงชู้ เมื่อใดจานอจะได้นังอู้กับชู้คิ่นเพื่อนแพง เมื่อใดจานอจะได้เอาแก้มแนบแก้ว กับเพื่อนแพงแม่เนื้ออ่อน”
ซอเพลงน้อยใจยา เป็นเพลงซอที่แต่งขึ้นใหม่ในสมัยพระราชชายา เจ้าดารารัศมีโดยโปรดให้ท้าวสุนทร ประพันธ์นิยายรักเรื่อง “น้อยใจยา” ขึ้นเป็นบทละครเล่นในคุ้มหลวงก่อน เนื้อเรื่องเกี่ยวกับความรัก ความเศร้า โดยทำนองเนื้อเรื่องก็เช่นเดียวกันกับ “สาวเครือฟ้า” พระนิพนธ์ของกรมนราธิปประพันธ์พงศ์ ที่ทรงดัดแปลงมาจากนิยายรักของญี่ปุ่นเรื่อง “โจโจ้ซัง” บทเพลงซอน้อยใจยานี้เพราะมาก
อนึ่ง บทประพันธ์เรื่อง “น้อยใจยา” และเรื่อง “สาวเครือฟ้า” ซึ่งเป็นบทนิยายแห่งความรัก ความเศร้า เนื้อเรื่องได้ถูกนำมาถ่ายทำเป็นบทภาพยนตร์ไทย หลายครั้งหลายหนก็ปรากฏว่าเป็นที่นิยมแก่คนดูมากจนเท่าทุกวันนี้ บทเพลงซอน้อยใจยามีตัวอย่างดังนี้ว่า
3. เพลงเด็ก มีลักษณะคล้ายกับเพลงเด็กของภาคอื่นๆ คือเพลงกล่อมเด็ก เพลงปลอบเด็ก และเพลงที่ เด็กใช้ร้องเล่นกันได้แก่ เพลงฮื่อลูก และเพลงสิกจุง จา ดังนี้
- เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือ
สำหรับภาคเหนือ หรือดินแดนล้านนาอันสงบสวยงาม มีเพลงกล่อมลูกสืบทอดเป็นลักษณะแบบแผนเฉพาะของตนเองมาช้านาน อาจารย์สิงฆะ วรรณไสย แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรียกฉันทลักษณ์ของเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือว่า "คำร่ำ" ซึ่งจัดเป็นลำนำชนิดหนึ่ง หมายถึงการร่ำพรรณนา มีเสียงไพเราะ สูงต่ำตามสียงวรรณยุกต์ของสำเนียงภาคเหนือ นิยมใช้แต่งในการร่ำบอกไฟขึ้น ร่ำสร้างวิหาร ร่ำสร้างเจดีย์ ร่ำสร่างถนน ขึ้นดอยสุเทพ และแตงเป็นคำกล่อมเด็ก
คำกล่อมเด็กนี้ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ในภาคเหนือสมัยก่อนมักจะใช้ขับกล่อมสอนลูกหลานขณะอุ้มเด็กนั่งชิงช้าแกว่งไกวช้าๆ จนเด็กง่วงนอน จึงอุ้มไปวางบนที่นอนหรือในเปลแล้วแห่กล่อมต่อจนเด็กหลับสนิท คำกล่อมเด็กนี้จึงเรียนว่า "สิกจุ้งจาโหน" ตามเสียงที่ใช้ขึ้นต้นเพลง
ลักษณะเด่นของเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือนอกจากจะขึ้นต้นด้วยคำว่าสิกจุ้งจาโหนแล้วยังมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่า "อื่อจา" เป็นส่วนใหญ่ จึงเรียกเพลงกล่อมเด็กนี้ว่า เพลงอื่อลูก ทำนองและลีลาอื่อลูกจะเป็นไปช้าๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็น ตามถ้อยคำที่สรรมาเพื่อสั่งสอนพรรณาถึงความรัก ความห่วงใยลูกน้อย จนถึงคำปลอบ คำขู่ ขณะยังไม่ยอมหลับ ถ้อยคำต่างๆ ในเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือสะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมต่างๆ ของคนในภาคเหนือในอดีตจนปัจจุบันได้เป็นอย่างดี นับเป็นประโยชน์ทางอ้อมที่ได้รับนอกเหนือจากความอบอุ่นใจของลูกที่เป็นประโยชน์โดยตรงของเพลงกล่อมเด็ก
ตัวอย่างเพลงกล่อมเด็กของภาคเหนือ
- สิกจุ่งจา หรือเล่นชิงช้า
สิกจุ่งจาเป็นการละเล่นของภาคเหนือ ผู้เล่นมีกี่คนก็ได้ ตามจำนวนชิงช้าที่มี หากผู้เล่นมากกว่าชิงช้าที่มี ก็อาจจะเปลี่ยนกัน เล่นอุปกรณ์การเล่น ชิงช้าทำด้วยเชือกเส้นเดียวสอดเข้าไปในรูกระบอกไม้ซาง แล้วผูกปลายเชือกทั้งสองไว้กับต้นไม้หรือพื้นเรือน
วิธีเล่น แกว่งชิงช้าไปมาให้สูงมากๆ บทร้องประกอบผู้เล่นจะร้องตาม
จังหวะที่ชิงช้าแกว่งไกวไปมา ดังนี้
จังหวะที่ชิงช้าแกว่งไกวไปมา ดังนี้
"สิกจุ่งจา อีหล้าจุ่งจ๊อย ขึ้นดอยน้อย ขึ้นดอยหลวง เก็บผักขี้ขวง ใส่ซ้าทังลุ่ม เก็บฝักกุ่ม ใส่ซ้าทั้งสน เจ้านายตน มาปะคนหนึ่ง ตีตึ่งตึง หื้ออย่าสาวฟังควักขี้ดัง หื้ออย่าสาวจูบ แปงตูบน้อย หื้ออย่าสาวนอน ขี้ผองขอน หื้ออย่าสาวไหว้ ร้อยดอกไม้ หื้ออย่าสาวเหน็บ จักเข็บขบหู ปูหนีบข้าง ช้างไล่แทง แมงแกงขบเขี้ยว เงี้ยวไล่แทง ตกขุมแมงดิน ตีฆ้องโม่งๆ"
บทร้องมีความหมายว่า ในการเล่นชิงช้า ลูกสาวน้อยควรจะร้องเพลงไม่ว่าลูกจะไปที่ใดก็ตาม สิ่งที่อยู่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินควรเก็บไว้ข้างล่าง สิ่งที่อยู่สูงควรวางไว้ข้างบน มีเจ้านายคนหนึ่งมาพบคนธรรมดาคนหนึ่ง เขาเล้าโลมให้หญิงสาวคนธรรมดานั้นหลงใหล แล้วยื่นความรักที่เป็นกากเดนแก่สาวนั้น สร้างกระท่อมหลังเล็กๆ ให้อยู่ ให้สาวเคารพบูชาความเลวของเขา ให้สาวแต่สิ่งที่เหลือเศษเหลือเดน มันเจ็บปวดยิ่งนัก มันน่ากลัวและน่าหนีให้พ้น อยู่ไปก็เหมือนกับตกขุมแมงมัน คนทั่วๆ ไปสมน้ำหน้าและเยาะเย้ย
ข้อสังเกต การเล่นชนิดนี้ให้ทั้งความสนุกสนานเพลิดเพลิน และฝึกทักษะในการร้องเพลง ลีลาการร้องและเนื้อหาตอนต้นเหมาะกับจังหวะไกวขึ้นลงของชิงช้า ทำให้เกิดความสนุกสนานในการร้องเข้าจังหวะ เนื้อหาของเพลงให้คติในการดำเนินชีวิต ให้รู้จักประมาณตน แล้วโยงมาเป็นการเล่าเรื่องทำนองสอนใจผู้หญิงให้รู้จักรักนวลสงวนตัว อย่าหลงคนง่ายโดยดูแต่ลักษณะภายนอกของเขา เพราะจะได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจและอับอายในภายหลัง ในบทเพลงมีการเปรียบเทียบ ยกตัวอย่างทำให้เข้าใจแง่คิดที่แทรกไว้ดีขึ้น
ข้อสังเกต การเล่นชนิดนี้ให้ทั้งความสนุกสนานเพลิดเพลิน และฝึกทักษะในการร้องเพลง ลีลาการร้องและเนื้อหาตอนต้นเหมาะกับจังหวะไกวขึ้นลงของชิงช้า ทำให้เกิดความสนุกสนานในการร้องเข้าจังหวะ เนื้อหาของเพลงให้คติในการดำเนินชีวิต ให้รู้จักประมาณตน แล้วโยงมาเป็นการเล่าเรื่องทำนองสอนใจผู้หญิงให้รู้จักรักนวลสงวนตัว อย่าหลงคนง่ายโดยดูแต่ลักษณะภายนอกของเขา เพราะจะได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจและอับอายในภายหลัง ในบทเพลงมีการเปรียบเทียบ ยกตัวอย่างทำให้เข้าใจแง่คิดที่แทรกไว้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังมีเพลงกล่อมลูกที่ภาคเหนือใช้ในการกล่อมลูกหรือเด็ก ลักษณะเด่นของเพลงกล่อมเด็ก
ภาคเหนือนอกจากจะขึ้นต้นด้วยคำว่าสิกจุ้งจาโหนแล้วยังมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่า "อื่อจา" เป็นส่วนใหญ่ จึง
เรียกเพลงกล่อมเด็กนี้ว่า เพลงอื่อลูกทำนองและลีลาอื่อลูกจะเป็นไป ช้าๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็นตามถ้อยคำที่
สรรมาเพื่อสั่งสอนพรรณาถึงความรัก ความห่วงใยลูกน้อยจนถึงคำขู่ คำปลอบ ขณะยังไม่ยอมหลับ ถ้อยคำ ต่างๆ ในเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือสะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมต่างๆ ของ คนในภาคเหนือในอดีตจนปัจจุบันได้เป็นอย่างดี นับเป็นประโยชน์ ทางอ้อมที่ได้รับนอกเหนือจากความอบ อุ่น ใจของลูกที่เป็นประโยชน์โดยตรงของเพลงกล่อมเด็ก
ภาคเหนือนอกจากจะขึ้นต้นด้วยคำว่าสิกจุ้งจาโหนแล้วยังมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่า "อื่อจา" เป็นส่วนใหญ่ จึง
เรียกเพลงกล่อมเด็กนี้ว่า เพลงอื่อลูกทำนองและลีลาอื่อลูกจะเป็นไป ช้าๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็นตามถ้อยคำที่
สรรมาเพื่อสั่งสอนพรรณาถึงความรัก ความห่วงใยลูกน้อยจนถึงคำขู่ คำปลอบ ขณะยังไม่ยอมหลับ ถ้อยคำ ต่างๆ ในเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือสะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมต่างๆ ของ คนในภาคเหนือในอดีตจนปัจจุบันได้เป็นอย่างดี นับเป็นประโยชน์ ทางอ้อมที่ได้รับนอกเหนือจากความอบ อุ่น ใจของลูกที่เป็นประโยชน์โดยตรงของเพลงกล่อมเด็ก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น